อาหารที่ควร หรือไม่ควรทาน สำหรับคนเป็นโรคเก๊าต์
พบว่าอาหารเองมีส่วนเป็นอย่างมากเลย ที่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดของข้อ กระดูก พอดีคนใกล้ชิดเป็นโรคนี้ด้วย ไปเจอในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับอาหารประเภทต่างๆ ที่ควรทานไม่ควรทาน หรือทานได้บ้าง ดังนี้
ทานไม่ได้เลย – มียูริคมาก (กรดยูริคสะสมทำให้เกิดอาการเจ็บปวดที่กระดูก และข้อ)
เป็ด ไก่ เครื่องในสัตว์ มันสมอง ปลาดุก ปลาอินทรีย์ ปลาไส้ตัน ปลาซาร์ดีน ไข่ปลา กุ้ง หอย กะปิ เบียร์ ขนมปัง เห็ด กระถิน ชะอม ขี้เหล็ก ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแระ
ทานได้บ้าง- ห้ามเกินวันละ 1 ขีด
หมู วัว ปลากะพงแดง ปลาหมึก ปู ถั่วลิสง สะตอ ถั่วลันเตา ข้าวโอ๊ต หน่อไม้ กระหล่ำดอก ผักโขม
ทานได้ตามสบาย
ข้าวโพด ข้าว ผลไม้ ขนมหวาน น้ำตาล วุ้น นม โยเกิร์ต ไข่
วันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน Cr.คลับคนรักสุขภาพ
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน ดีต่อสุขภาพอย่างไรก็ต้องมาดูกันก่อนได้เลยนะ
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
รู้ไหมเอ่ย การที่เราจะมีสุขภาพดีเป็นเรื่องที่ทำกันได้ง่าย ๆ ไม่ใช่การออกกำลังกายเท่านั้นนะ แต่ว่าจะต้องรู้จักทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพตัวเองอย่างเหมาะสมไม่มากและน้อยมากเกินไปนั่นเอง และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปและจะทำให้ผิวเราชุ่มชื้นผิวไม่แห้งและไม่เหี่ยวเร็วในระยะยาวนั่นเอง ท่านไหนที่ทำได้อย่างนี้แล้วละก็ สุขภาพดีก็อยู่ใกล้ในกำมือโดยที่ไม่ต้องหาซื้อกันแล้วล่ะ
แต่….. รู้ไหมว่า นอกจากรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว หากคุณรับประทานอาหาร เพื่อสุขภาพ ทุกวันแล้ว ยิ่งทำให้คุณมีสุขภาพดีมากยิ่งขึ้นกันเป็นอย่างแน่นอน แต่… รู้หรือไม่ ว่าเป็นอาหารประเภทไหนหรือว่าแบบไหนกันแน่นะ…? ไม่ต้องรอให้สงสัยนานกันหรอกนะ งั้นตามมาดูกันได้เลย
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
1. เบอร์รี่
อันดับแรกของเราเป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั่นเอง ซึ่งใครหลาย ๆ คนจะต้องชอบรับประทานกันเป็นอย่างแน่นอน แม้ว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จะเคยเป็นผลไม้ที่หาทานได้ยากในบ้านเรา แต่สมัยนั่นไม่ใช่อย่างนั้นแล้วละ เพราะเดี๋ยวนี้หาซื้อกันได้อย่างดายตามห้างสรรถสินค้า และท้องตลาดทั่วไป และรู้หรือไม่ว่าตระกูลเบอร์รี่นั้น ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารได้มากเลยทีเดียว แถมยังมีแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์และที่สำคัญ ยังมีวิตามิน C ที่ช่วยในเรื่องผิวพรรณและหวัดอีกด้วย
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
2.ไข่ไก่
ไข่ไก่ ซึ่งหาซื้อได้ง่ายสะดวก และทำเมนูได้หลายเมนูและอร่อยกันเป็นอย่างมากๆ กันเลยทีเดียว แต่รู้หรือไม่ว่า ไข่ไก่นั้นเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูงกันเลยทีเดียว ท่ี่ทำให้คุณได้พลังงานแต่ไม่อ้วน แถมมีประโยชน์ในการบำรุงรักษาสายตา และยังมีลูทีนที่จะป้องกันผิวคุณภาพจากการทำลายของแสงแดดอีกด้วยนะ
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
3.ถั่ว
รู้หรือไม่ ว่าถั่วที่เรากินเล่นกันทุกวันนี้ เป็นแหล่งของเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยในการส่งผ่านออกซินเจนจากปอดไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย โดยในถั่ว 1 ถ้วย จะให้ธาตุเหล็กประมาณ 16 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ถั่วยังมีไฟเบอร์ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ง่ายขึ้นอีกด้วยนะ
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
4. อัลมอนด์ แม็คคาเดเมีย และมะม่วงหิมพานต์
เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสูขภาพและหัวใจ ซึ่งใครหลาย ๆ คนอาจจะชื่นชอบในการรับประทานเล่นกันเป็นอย่างแน่นอน จากการศึกษาของนักโภชนาการ พบว่า ผู้ที่รับประทานเมล็ดพืชดังกล่าวจะมีอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่ได้ทานถึง 2 ปีครึ่งกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีโอเมก้า 3 เอแอลเอ ที่จะส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้น ที่สำคัญยังช่วงลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีด้วยนะ เห็นอย่างนี้แล้วทุกคนคงจะชื่นชอบมากกว่าเดิมแน่เลย
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
5. ส้ม
ถ้าพูดถึง ส้ม ใคร ๆ หลายคนคงชื่นชอบและคงเคยได้รับประทานกันจนชินแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า ส้ม เป็นแหล่งวิตามิน C คุณภาพ ที่มีประโยชน์ต่อการสร้างเซลล์ผิวจากการถูกทำลาย และเสริมสร้างคอลลาเจนในผิว เรียกว่าคุณประโยชน์ครบครันกันเลยทีเดียว
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
6. มันเทศ
อาหารที่หาได้ง่าย และสามารถที่จะปลูกไว้กินหลังบ้านได้ อีกอย่างนะ ก็มีประโยชน์มากมายกันเลยทีเดียว มันเทศเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นดีที่ช่วยในเรื่องการบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และที่หลาย ๆ คนคงคิดไม่ถึง คือ มันเทศมีสารต้านมะเร็งสูงอีกด้วนะ เห็นอย่างนี้แล้วน่าจะปลูกไว้หลังบ้านเยอะ ๆ กันเลย
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
7. บร็อคโคลี่
เป็นผักที่ประกอบอาหารได้หลายอย่างกันเลยทีเดียว และบร็อคโคลี่ นี้ เป็นแหล่งของวิตามินซี เอ และเค เป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา และมีสารไอโซธิโอไซยาเนทส์ (Isothiocyanates) ที่ช่วยต่อต้านมะเร็งปอด รวมถึงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนั้ วิตามินเคยังเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกด้วยอีกนะ
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
8. ชา
ชา ที่ใคร ๆ หลายคนนิยมดื่มกัน แต่รู้ไหมว่า การดื่มชาในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นอัลไซเมอร์ มะเร็ง และทำให้สุขภาพฟันและกระดูกแข็งแรงขึ้น เพราะว่าในชานั้นมีสารต้านแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่เรียกว่า ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ที่ให้ผลดีต่อสุขภาพ
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
9. คะน้า
คะน้า ซึ่งนำมาประกอบอาหารได้หลายเมนูและอร่อยอีกด้วย รู้หรือไม่ ว่า คะน้า มีสารเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด รวมถึงมีวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สร้างภูมิต้านทานโรคที่ดี นอกจากนั้ยังมีแคลเซียมเสริมสร้างการทำงานของกระดูกอีกด้วยนะ
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
10. โยเกิร์ต
เป็นอาหารที่ใคร ๆ หลายคนคงโปรดปรานกันเป็นอย่างแน่เลย เพราะว่ารสชาติอร่อยนิหน่า.. โยเกิร์ตนั้นมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินบี 12 และ โปรตีน ดังนั้น ถ้ารับประทานโยเกิร์ตให้ได้วันละ 1 ถ้วย จะทำให้สุขภาพดีกันเลยทีเดียวละ
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
รู้ไหมเอ่ย การที่เราจะมีสุขภาพดีเป็นเรื่องที่ทำกันได้ง่าย ๆ ไม่ใช่การออกกำลังกายเท่านั้นนะ แต่ว่าจะต้องรู้จักทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพตัวเองอย่างเหมาะสมไม่มากและน้อยมากเกินไปนั่นเอง และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปและจะทำให้ผิวเราชุ่มชื้นผิวไม่แห้งและไม่เหี่ยวเร็วในระยะยาวนั่นเอง ท่านไหนที่ทำได้อย่างนี้แล้วละก็ สุขภาพดีก็อยู่ใกล้ในกำมือโดยที่ไม่ต้องหาซื้อกันแล้วล่ะ
แต่….. รู้ไหมว่า นอกจากรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว หากคุณรับประทานอาหาร เพื่อสุขภาพ ทุกวันแล้ว ยิ่งทำให้คุณมีสุขภาพดีมากยิ่งขึ้นกันเป็นอย่างแน่นอน แต่… รู้หรือไม่ ว่าเป็นอาหารประเภทไหนหรือว่าแบบไหนกันแน่นะ…? ไม่ต้องรอให้สงสัยนานกันหรอกนะ งั้นตามมาดูกันได้เลย
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
1. เบอร์รี่
อันดับแรกของเราเป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั่นเอง ซึ่งใครหลาย ๆ คนจะต้องชอบรับประทานกันเป็นอย่างแน่นอน แม้ว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จะเคยเป็นผลไม้ที่หาทานได้ยากในบ้านเรา แต่สมัยนั่นไม่ใช่อย่างนั้นแล้วละ เพราะเดี๋ยวนี้หาซื้อกันได้อย่างดายตามห้างสรรถสินค้า และท้องตลาดทั่วไป และรู้หรือไม่ว่าตระกูลเบอร์รี่นั้น ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารได้มากเลยทีเดียว แถมยังมีแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์และที่สำคัญ ยังมีวิตามิน C ที่ช่วยในเรื่องผิวพรรณและหวัดอีกด้วย
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
2.ไข่ไก่
ไข่ไก่ ซึ่งหาซื้อได้ง่ายสะดวก และทำเมนูได้หลายเมนูและอร่อยกันเป็นอย่างมากๆ กันเลยทีเดียว แต่รู้หรือไม่ว่า ไข่ไก่นั้นเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูงกันเลยทีเดียว ท่ี่ทำให้คุณได้พลังงานแต่ไม่อ้วน แถมมีประโยชน์ในการบำรุงรักษาสายตา และยังมีลูทีนที่จะป้องกันผิวคุณภาพจากการทำลายของแสงแดดอีกด้วยนะ
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
3.ถั่ว
รู้หรือไม่ ว่าถั่วที่เรากินเล่นกันทุกวันนี้ เป็นแหล่งของเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยในการส่งผ่านออกซินเจนจากปอดไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย โดยในถั่ว 1 ถ้วย จะให้ธาตุเหล็กประมาณ 16 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ถั่วยังมีไฟเบอร์ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ง่ายขึ้นอีกด้วยนะ
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
4. อัลมอนด์ แม็คคาเดเมีย และมะม่วงหิมพานต์
เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสูขภาพและหัวใจ ซึ่งใครหลาย ๆ คนอาจจะชื่นชอบในการรับประทานเล่นกันเป็นอย่างแน่นอน จากการศึกษาของนักโภชนาการ พบว่า ผู้ที่รับประทานเมล็ดพืชดังกล่าวจะมีอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่ได้ทานถึง 2 ปีครึ่งกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีโอเมก้า 3 เอแอลเอ ที่จะส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้น ที่สำคัญยังช่วงลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีด้วยนะ เห็นอย่างนี้แล้วทุกคนคงจะชื่นชอบมากกว่าเดิมแน่เลย
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
5. ส้ม
ถ้าพูดถึง ส้ม ใคร ๆ หลายคนคงชื่นชอบและคงเคยได้รับประทานกันจนชินแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่า ส้ม เป็นแหล่งวิตามิน C คุณภาพ ที่มีประโยชน์ต่อการสร้างเซลล์ผิวจากการถูกทำลาย และเสริมสร้างคอลลาเจนในผิว เรียกว่าคุณประโยชน์ครบครันกันเลยทีเดียว
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
6. มันเทศ
อาหารที่หาได้ง่าย และสามารถที่จะปลูกไว้กินหลังบ้านได้ อีกอย่างนะ ก็มีประโยชน์มากมายกันเลยทีเดียว มันเทศเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นดีที่ช่วยในเรื่องการบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และที่หลาย ๆ คนคงคิดไม่ถึง คือ มันเทศมีสารต้านมะเร็งสูงอีกด้วนะ เห็นอย่างนี้แล้วน่าจะปลูกไว้หลังบ้านเยอะ ๆ กันเลย
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
7. บร็อคโคลี่
เป็นผักที่ประกอบอาหารได้หลายอย่างกันเลยทีเดียว และบร็อคโคลี่ นี้ เป็นแหล่งของวิตามินซี เอ และเค เป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา และมีสารไอโซธิโอไซยาเนทส์ (Isothiocyanates) ที่ช่วยต่อต้านมะเร็งปอด รวมถึงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนั้ วิตามินเคยังเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกด้วยอีกนะ
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
8. ชา
ชา ที่ใคร ๆ หลายคนนิยมดื่มกัน แต่รู้ไหมว่า การดื่มชาในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นอัลไซเมอร์ มะเร็ง และทำให้สุขภาพฟันและกระดูกแข็งแรงขึ้น เพราะว่าในชานั้นมีสารต้านแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่เรียกว่า ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ที่ให้ผลดีต่อสุขภาพ
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
9. คะน้า
คะน้า ซึ่งนำมาประกอบอาหารได้หลายเมนูและอร่อยอีกด้วย รู้หรือไม่ ว่า คะน้า มีสารเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด รวมถึงมีวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สร้างภูมิต้านทานโรคที่ดี นอกจากนั้ยังมีแคลเซียมเสริมสร้างการทำงานของกระดูกอีกด้วยนะ
10 อาหารสุขภาพที่ควรทานกันทุกวัน
10. โยเกิร์ต
เป็นอาหารที่ใคร ๆ หลายคนคงโปรดปรานกันเป็นอย่างแน่เลย เพราะว่ารสชาติอร่อยนิหน่า.. โยเกิร์ตนั้นมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินบี 12 และ โปรตีน ดังนั้น ถ้ารับประทานโยเกิร์ตให้ได้วันละ 1 ถ้วย จะทำให้สุขภาพดีกันเลยทีเดียวละ
5 เมนูอาหารสำหรับคนอ้วน
5 เมนูอาหารสำหรับคนอ้วน
โรคอ้วน การประเมินว่าอ้วนหรือไม่ สาเหตุโรคอ้วน ผลเสียของโรคอ้วนจะรักษาโรคอ้วนเมื่อไรมีกี่วิธีในการรักษาโรคอ้วนขั้นตอนในการรักษาผลดีของการลดน้ำหนัก การป้องกัน อ้วนลงพุง(metabolic syndrome)
การควบคุมอาหารในผู้ป่วยโรคอ้วน
การลดพลังงานจากอาหาร
คนปกติคนเราต้องการพลังงานประมาณ 25-35 กิโลแคลอรี/น้ำหนัก 1 กิโลกรัมดังนั้นเราสามารถคำนวณพลังงานที่เราควรได้รับในแต่ละวันโดยเอาน้ำหนักคูณด้วย 25 ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นพลังงานทั้งหมด ถ้าเราต้องการลดน้ำหนักให้เอา 500 กิโลแคลอรีลบจากที่คำนวณได้จะได้พลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน นำพลังงานที่ได้หารด้วย3 จะได้พลังงานที่ควรได้รับในแต่ละมื้อ โดยทั่วไปถ้าหากต้องการลดน้ำหนักผู้หญิงควรได้พลังงานวันละ 1000-1200 กิโลแคลอรี สำหรับผู้ชายควรได้ 1200-1600 กิโลแคลอรีซึ่งจะทำให้น้ำหนักลดลง ครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ การรับประทานอาหารเหลวที่มีพลังงานต่ำจะทำให้น้ำหนักลดในช่วงแรก แต่เมื่อหยุดอาหารเหลวก็จะกลับอ้วนขึ้นมาใหม่
เลือกอาหารที่มีคุณภาพ
การควบคุมอาหารในผู้ป่วยโรคอ้วน
การลดพลังงานจากอาหาร
คนปกติคนเราต้องการพลังงานประมาณ 25-35 กิโลแคลอรี/น้ำหนัก 1 กิโลกรัมดังนั้นเราสามารถคำนวณพลังงานที่เราควรได้รับในแต่ละวันโดยเอาน้ำหนักคูณด้วย 25 ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นพลังงานทั้งหมด ถ้าเราต้องการลดน้ำหนักให้เอา 500 กิโลแคลอรีลบจากที่คำนวณได้จะได้พลังงานที่ควรได้รับในแต่ละวัน นำพลังงานที่ได้หารด้วย3 จะได้พลังงานที่ควรได้รับในแต่ละมื้อ โดยทั่วไปถ้าหากต้องการลดน้ำหนักผู้หญิงควรได้พลังงานวันละ 1000-1200 กิโลแคลอรี สำหรับผู้ชายควรได้ 1200-1600 กิโลแคลอรีซึ่งจะทำให้น้ำหนักลดลง ครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ การรับประทานอาหารเหลวที่มีพลังงานต่ำจะทำให้น้ำหนักลดในช่วงแรก แต่เมื่อหยุดอาหารเหลวก็จะกลับอ้วนขึ้นมาใหม่
เลือกอาหารที่มีคุณภาพ
- เมื่อรับประทานอาหารให้พยายามนึกถึงปริมาณพลังงานที่เรารับประทาน แทนน้ำหนัก หรือชิ้น
- เลือกอาหารแป้งที่ถูกต้อง แม้ว่าปริมาณแป้งที่เรารับประทานจะมากถึงร้อละ 40-55 % การเลือกอาหารแป้งก็มีความสำคัญ ต้องเลือกแป้งที่มาจากธัญพืช พวกแป้งควรเป็นแป้งเชิงซ้อน เช่นข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ แทนน้ำตาล
- ลดอาหารที่ให้ความหวาน เช่น candies, cakes, cookies, muffins, pies, doughnuts and frozen desserts
- ลดอาหารไขมันลง เนื่องจากอาหารไขมันจะให้พลังงานมากกว่าพวกแป้งและเนื้อสัตว์เท่าตัว
- เมื่อรับประทานอาหารต้องกะปริมาณอย่าให้มากไป
- พยายามคำนวนอาหารที่รับประทานออกเป็นพลังงาน

- ลดพลังงานจากที่ต้องการวันละ 500 กิโลแคลอรีทำให้น้ำหนักลดลง 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ไม่ควรรับสุราเพราะจะทำให้อ้วน
- ผู้ที่ไขมันในเลือดสูงต้องลดปริมาณไขมันลงอีก cholesterol ให้น้อยกว่า 200 มิลิกรัม/วัน ไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าร้อยละ7
- โปรตีนให้เลือกที่มาจากพืช
- ระหว่างลดน้ำหนักต้องได้วิตามินและเกลือแร่อย่างพอเพียง
- คนอ้วนจะมีกระเพาะที่ใหญ่กว่าคนปกติเนื่องจากกระเพาะถูกยืดจากอาหาร ดังนั้นจึงมีอาการหิวบ่อยทำให้การควบคุมอาหารประสบผลสำเร็จน้อยแต่อย่าเพิ่งย่อท้อ ให้พยายามควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
- ให้ลดอาหารไขมัน และน้ำตาล เพิ่มอาหารที่มีใยอาหาร เช่นผักและผลไม้ ผู้ที่ลดอาหารมันในระยะยาวจะต้องรับวิตามินเสริมเช่น vitamins A และ E, folic acid, calcium, iron and zinc
- ไขมันทดแทน Fat Substitutes ที่มีขายในท้องตลาดเช่น cellulose gel Avicel, Carrageenan (ทำจาก seaweed) guar gum, and gum arabic พวกนี้จะไม่ถูกดูดซึมทำให้เกิดท้องร่วง และปวดท้องและมีวิตามินลดลงเช่น vitamins A, K, D, and E ดังนั้นต้องไดรับวิตามินเหล่านี้เสริม
- ใยอาหาร ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักต้องเพิ่มอาหารที่มีใยอาหาร เช่นผักผลไม้ ธัญพืชเนื่องจากใยอาหารจะลดการดูดซึมไขมัน และยังป้องกันการขาดวิตามินทำให้ลดอัตราการตายจากโรคหัวใจ
- น้ำตาลทดแทน ให้ใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาลเช่น saccharin, aspartame
- พยายามรับประทานอาหารเฉพาะในมื้ออาหารโดยเฉพาะที่โต๊ะอาหาร และลุกขึ้นจากโต๊ะทันทีที่อิ่ม
- รับประทานวันละ 3 มื้อ
- รับประทานอาหารเช้าทุกวัน
- อย่าอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง
- เลือกอาหารว่างที่มีไขมันต่ำ
- รับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืชที่ไม่ขัดสี
- ใช้จานใจเล็กๆ เพื่อป้องกันการรับประทานอาหารมากไป หลีกเลี่ยงการเติมอาหารครั้งที่ 2
- รับประทานอาหารอย่างช้าๆ เคี้ยวอาหารแต่ละคำช้าๆ
- ดื่มน้ำมากๆทั้งในมื้ออาหารและระหว่างมื้ออาหาร ดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนอาหาร
- พยายามเลี่ยงอาหารที่ใช้มือหยิบ เพราะคุณจะเพลินกับการรับประทานอาหาร
- อย่าเสียดายของเหลือ ไม่จำเป็นต้องทานอาหารจนหมดจาน
- จำกัดเนื้อสัตว์ไม่ติดมันไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะ
- รับประทานเนื้อปลาเป็นหลัก เนื้อไก่และเป็ดให้ลอกหนังออก
- ลือกอาหารที่มีไขมันต่ำแทนอาหารที่มีไขมันสูง
- อย่าเตรียมอาหารมากเกินความจำเป็น
- หลีกเลี่ยงอาหารพวก ทอด ผัด แกงกะทิ ให้ใช้ อบ นึ่ง เผา
- อย่าวางอาหารจานโปรดหรือของว่างไว้รอบๆตัว
- อย่าทำกิจกรรมอื่นๆระหว่างรับประทานอาหาร เช่นอ่านหนังสือ,ดูโทรทัศน์ เพราะจะรับประทานอาหารมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว
- พยายามหางานอดิเรกทำเมื่อเวลาหิว
- อาหารเหลือให้เก็บทันที
- ไม่หยิบหรือชิมอาหาร
- หลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยครีม เครื่องจิ้มที่มีไขมันสูง
- พลังงานที่ได้จากอาหารแต่ละชนิด
- สารอาหาร เช่น แป้ง ไขมัน โปรตีน
- อ่านสลากอาหารว่ามีปริมาณพลังงานเท่าใด
- การเลือกซื้ออาหารที่มีพลังงานน้อย
- การเตรียมอาหารที่มีไขมันน้อยหลีกเลี่ยงการผัด ทอด ใช้ต้ม เผา อบ นึ่งแทน
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มากเกินไป
- ดื่มน้ำให้มาก
- ใช้จานเล็ก
5 เมนูสำหรับคนอ้วน
เมนูยำผลไม้รวม
- ส้มโอ 2-3 ซีก
- แอปเปิลเขียว 2 ลูก
- แอปเปิลแดง 2 ลูก
- แครอต ½ หัว
- องุ่นสีเขียวและม่วง 10 ลูก
- หอมแดง 2-3 หัว
- กระเทียม 2-3 กลีบ
- กุ้งตัวเล็ก 4-5 ตัว
ส่วนผสมน้ำยำ
- กระเทียม 2-3 กลีบ
- พริกขี้หนู 10 เม็ด
- น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย ½ ช้อนชา
วิธีทำ
1. ล้างผลไม้ที่เตรียมไว้ให้สะอาด
2. นำแอปเปิลทั้งเขียวและแดงมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะวิตามินส่วนใหญ่จะอยู่ที่เปลือก
3. นำส้มโอมาแกะเป็นเส้นเล็กๆ ผ่าซีกองุ่นเอาเมล็ดออกให้หมด
4. นำแครอตที่ล้างแล้วมาขูดเปลือกออก แล้วหั่นแครอตเป็นเส้นฝอยๆเล็กๆ
5. เจียวกระเทียมให้หอม หั่นหอมแดงเป็นแว่นๆ บางๆ แล้วนำไปเจียวให้หอม
6. ล้างกุ้งให้สะอาด นำกุ้งไปต้มให้สุก หรือลวกก็ได้แล้วแต่ความชอบ
7. นำส่วนผสมทั้งหมดใส่รวมกันแล้วราดด้วยน้ำยำ คลุกเคล้าเบาๆให้เข้ากัน
วิธีทำน้ำยำ
1. ตำน้ำพริกกับกระเทียมจนแหลก
2. ใส่น้ำมะนาว น้ำปลา และน้ำตาลทรายในถ้วย
3. นำกระเทียมและพริกที่ตำเอาไว้มาคลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ
เคล็ดไม่ลับ
หากกลัวสารเคมีที่อยู่ในเปลือกแอปเปิล ให้แช่แอปเปิลในน้ำนานๆ
เมนูต้มส้มปลาทู
ส่วนผสม
- ปลาทูสด 2 ตัว
- น้ำสะอาด 2 ถ้วย
- ขิงอ่อนซอยเส้นยาวๆ ¼ ถ้วยตวง
- ต้นหอมหั่นเป็นท่อนยาว 1 นิ้ว 2-3 ตัน
- น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ
- น้ำมะขามเปียก ผักชี พริกชี้ฟ้าแดงหั่นเป็นเส้น
- พริกไทยเม็ด 15-20 เม็ด
- หอมแดงซอย 3 ช้อนโต๊ะ
- กะปิ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. นำพริกไทยเม็ด หอมแดงซอย และกะปิโขลกเข้าด้วยกันให้ละเอียด ตักใส่ถ้วยพักไว้
2. ล้างปลาทู ตัดเป็น 2 ส่วน แยกเป็นหัวกับหาง ควักไส้ออกจนหมด แล้วล้างอีกครั้งให้สะอาด ใส่จานพักเอาไว้
3. นำหม้อตั้งไฟใส่น้ำต้มให้เดือดด้วยไฟปานกลาง แล้วใส่เครื่องแกงที่เตรียมไว้ คนให้ละลาย
4. พอน้ำเดือดอีกครั้งใส่ปลาทูลงไป ปิดฝาหม้อเอาไว้ ต้มต่อไปจนปลาทูสุก ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา น้ำมะขามเปียก และขิงซอย คนเบาๆให้ทั่ว ชิมรสให้ออกเปรี้ยว เค็ม หวาน ก่อนปิดไฟใส่ต้นหอม
5. ตักใส่ชาม ตกแต่งด้วยใบผักชี และพริกชี้ฟ้าหั่น
เมนูแกงผักหวาน
เครื่องปรุง
- ผักหวานป่า 100 กรัม
- วุ้นเส้น 50 กรัม
- น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง
ส่วนผสมเครื่องแกง
- พริกชี้ฟ้าแห้ง 5 เม็ด
- กระเทียม 5 กลีบ
- หอมแดง 5 หัว
- กะปิ 1 ช้อนชา
- เกลือป่น 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด ตักพักไว้
2. ต้มน้ำพอเดือด ละลายเครื่องแกงในน้ำเดือด ใส่ปลาแห้ง ต้มจนปลานุ่ม ตามด้วยผักหวานป่า ต้มผักจนสุก
3. ใส่วุ้นเส้น คนให้เข้ากัน ปิดไฟตักใส่ชาม
เคล็ดลับในการปรุง
ผักหวานป่าจะสุกช้ากว่าผักหวานบ้าน ควรต้มผักหวานให้นานกว่าจนผักนิ่ม แต่ไม่เหลือง
เมนูแกงส้มผักรวมกุ้งสด
- กุ้งชีแฮ้ดำผ่าหลังชักเส้นดำออก 6 ตัว
- กะหล่ำปลีหั่นเป็นชิ้น 1 ถ้วย
- หัวไชเท้าหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ 1 ถ้วย
- กะหล่ำดอก 1 ถ้วย
- น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำเปล่า 3 ถ้วย
- น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
เครื่องพริกแกง
- พริกแห้งแกะเอาเมล็ดออกแช่น้ำ 5 เม็ด
- หอมแดง 7 หัว
- กระเทียม 1 หัว
- กระชาย 1 ช้อนชา
- กะปิ 1 ช้อนชา
- เกลือป่น 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. โขลกเครื่องแกงทุกอย่างรวมกันให้ละเอียดพักไว้
2. ใส่น้ำลงในหม้อ แล้วนำขึ้นตั้งไฟ นำเครื่องแกงลงไปละลายในน้ำพอเดือดอีกครั้ง
3. ใส่หัวไชเท้า พอหัวไชเท้าเริ่มนุ่ม ใส่กุ้ง กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ลงไป
4. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะขามเปียก ชิมรสให้มีรสเปรี้ยวนำเล็กน้อย
5. รอจนเดือดอีกครั้งจึงปิดไฟ ตักใส่ชามได้เลย
เมนูยำถั่วพู
- ถั่วพู (หั่นขวางเป็นชิ้นเล็กๆ) 250 กรัม
- เนื้อหมูสับ 100 กรัม
- กุ้งขนาดกลาง 5 ตัว
- กะทิ 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
- ถั่วลิสงคั่วบด 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
- หอมเจียวแดง (สำหรับโรยหน้า) 2 ช้อนโต๊ะ
- เนื้อมะพร้าวฝอย 50 กรัม
- ไข่ไก่ต้ม (หั่นเป็น 4 ส่วน) 1 ฟอง
- น้ำพริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ
- พริกแห้ง (สำหรับแต่งหน้า)
วิธีทำ
1. นำหมูสับลวกในน้ำร้อนจนสุก เสร็จแล้วนำออกมาสะเด็ดน้ำให้แห้ง จากนั้นจึงลวกกุ้งให้สุกและนำออกมาสะเด็ดน้ำเช่นกัน
2. นำถั่วพูที่หั่นแล้วไปลวกในน้ำร้อนประมาณ 3 นาทีจนสุก จึงนำออกมาสะเด็ดน้ำ
3. แล้วผสมน้ำยำโดยนำกะทิ 1 ช้อนโต๊ะ น้ำพริกเผา น้ำปลา น้ำตาลทราย และน้ำมะนาวเข้าด้วยกันในชามขนาดปานกลาง คนจนเข้ากันดี
4. ใส่หมูสับ และกุ้งที่ลวกไว้ลงตามไป คนจนหมูและกุ้งผสมเข้ากันดีกับเครื่องปรุง
5. จากนั้นใส่เนื้อมะพร้าวฝอย ถั่วลิสงบดและถั่วพูลงไป คนจนเข้ากันทั่ว จึงตักใส่จาน แต่งหน้าด้วยกะทิสด 1 ช้อนโต๊ะ หอมแดงเจียว พริกแห้ง และไข่ต้มที่หั่นเตรียมไว้ เสิร์ฟทันที
อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเก๊าต์
อาหารที่ควร หรือไม่ควรทาน สำหรับคนเป็นโรคเก๊าต์
พบว่าอาหารเองมีส่วนเป็นอย่างมากเลย ที่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดของข้อ กระดูก พอดีคนใกล้ชิดเป็นโรคนี้ด้วย ไปเจอในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับอาหารประเภทต่างๆ ที่ควรทานไม่ควรทาน หรือทานได้บ้าง ดังนี้
ทานไม่ได้เลย – มียูริคมาก (กรดยูริคสะสมทำให้เกิดอาการเจ็บปวดที่กระดูก และข้อ)
เป็ด ไก่ เครื่องในสัตว์ มันสมอง ปลาดุก ปลาอินทรีย์ ปลาไส้ตัน ปลาซาร์ดีน ไข่ปลา กุ้ง หอย กะปิ เบียร์ ขนมปัง เห็ด กระถิน ชะอม ขี้เหล็ก ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแระ
ทานได้บ้าง- ห้ามเกินวันละ 1 ขีด
หมู วัว ปลากะพงแดง ปลาหมึก ปู ถั่วลิสง สะตอ ถั่วลันเตา ข้าวโอ๊ต หน่อไม้ กระหล่ำดอก ผักโขม
ทานได้ตามสบาย
ข้าวโพด ข้าว ผลไม้ ขนมหวาน น้ำตาล วุ้น นม โยเกิร์ต ไข่
พบว่าอาหารเองมีส่วนเป็นอย่างมากเลย ที่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดของข้อ กระดูก พอดีคนใกล้ชิดเป็นโรคนี้ด้วย ไปเจอในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับอาหารประเภทต่างๆ ที่ควรทานไม่ควรทาน หรือทานได้บ้าง ดังนี้
ทานไม่ได้เลย – มียูริคมาก (กรดยูริคสะสมทำให้เกิดอาการเจ็บปวดที่กระดูก และข้อ)
เป็ด ไก่ เครื่องในสัตว์ มันสมอง ปลาดุก ปลาอินทรีย์ ปลาไส้ตัน ปลาซาร์ดีน ไข่ปลา กุ้ง หอย กะปิ เบียร์ ขนมปัง เห็ด กระถิน ชะอม ขี้เหล็ก ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแระ
ทานได้บ้าง- ห้ามเกินวันละ 1 ขีด
หมู วัว ปลากะพงแดง ปลาหมึก ปู ถั่วลิสง สะตอ ถั่วลันเตา ข้าวโอ๊ต หน่อไม้ กระหล่ำดอก ผักโขม
ทานได้ตามสบาย
ข้าวโพด ข้าว ผลไม้ ขนมหวาน น้ำตาล วุ้น นม โยเกิร์ต ไข่
วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย
อาหารสำหรับผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย
ทำไมผู้ป่วยธาลัสซีเมียจึงมีธาตุเหล็กมากทั้ง ๆ ที่เป็นโรคเลือดจาง ควรรับประทานอาหารประเภทใด และงดอาหารประเภทใดบ้าง?
ผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย มีธาตุเหล็กในร่างกายมากกว่าคนปกติ เพราะแม้ว่าธาตุเหล็กจะถูกขับอกจากรางกายได้เท่าเทียมคนปกติ แต่เนื่องจากเม็ดเลือดแดงในร่างกายของผู้ที่เป็นโรคนี้อายุสั้น แตกง่าย ในเม็ดเลือดแดงมีธาตุเหล็กอยู่ จึงปลดปล่อยตกค้างภายในร่างกาย นอกจากนั้นภาวะซีดทำให้ลำไส้ดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารเพิ่มมากกว่าปกติ และยิ่งมีการให้เลือดด้วยเมื่อเม็ดเลือดแดงที่ได้รับเสื่อมตายไปในร่างกาย เหล็กจากเม็ดเลือดแดงเหล่านั้นก็จะตกค้างสะสมอยู่ในร่างกายเพิ่มขึ้น
ผู้ป่วยโรคนี้ควรรักษาสุขภาพอนามัยให้ดี เพราะถ้าเจ็บป่วยไม่สบายบ่อย ๆ จะทำให้ยิ่งซีดลงกว่าเดิม ทำให้รับเลือดบ่อยขึ้น เหล็กสะสมก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เป็นผลเสียต่ออวัยวะต่าง ๆ ตามไปด้วย คนที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย เมื่อเม็ดเลือดแดงแตกเร็ว ร่างกายก็จะพยายามสร้างเม็ดเลือดแดงใหม่ขึ้นมาแทน สร้างมากและสร้างเร็วกว่าคนปกติหลายเท่า ฉะนั้นควรรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ มีโปรตีนสูง
อาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วย โรคธาลัสซีเมีย คือ อาหารคุณภาพดีที่ให้โปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ไข่ นม และอาหารที่มีวิตามินที่เรียกว่า "โฟลิค" อยู่มาก ได้แก่ ผักต่าง ๆ ผักสด ผลไม้สด ตามฤดูกาล ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือด
ส่วนอาหารที่ผู้ป่วย โรคธาลัสซีเมีย ควรหลีกเลี่ยง คือ อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องในสัตว์ โดยเฉพาะตับและเลือด กุ้ง หอยแมลงภู่ หอยนางรม และสาหร่ายทะเลที่มีธาตุเหล็กสูงกว่าเนื้อสัตว์ 3-8 เท่า และ ผักบางชนิดที่ให้ธาตุเหล็กอยู่ เช่น เช่น ผักกูด มะเขือพวง ผักโขม ใบชะพลู ดอกแค ใบตำลึง เป็นต้น รวมถึงอาหารเผ็ด และอาหารที่ย่อยยากด้วย
** อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม "ผักที่มีธาตุเหล็ก" » **
แต่หากมีการรับประทานอาหารที่เหล็กสูงเข้าไป อาจดื่มเครื่องดื่มประเภท ชา และ นมถั่วเหลือง เพื่อไปช่วยลดการดูดซึมธาตุเหล็กได้ ที่สำคัญ ไม่ควรซื้อวิตามิน แร่ธาตุ หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมารับประทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
สรุปข้อควรปฏิบัติ สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย
1. รับประทานอาหารวันละ 3 มื้อ หลีกเลี่ยงอาหารรส หวานจัด เค็มจัด และอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง
2. รับประทาน ไข่ นม เต้าหู้ หรือนมถั่วเหลืองมากๆ (ควรดื่มนมทุกวัน วันละ 2-3 กล่อง)
3. รับประทานผักสด ให้ได้ปริมาณประมาณมื้อละ 1 ทัพพี, รับประทานผลไม้ทุกวัน
4. ดื่มน้ำชาหลังอาหาร เพื่อลดการดูดซึมธาตุเหล็ก จากการที่เรารับประทานอาหารบางชนิดเข้าไป เพราะอาหารบางชนิดจะมีธาตุเหล็กสูงกว่าอาหารบางประเภท ผู้ป่วยจึงต้องดื้นน้ำชาหลังอาหาร เพื่อช่วยลดธาตุเหล็ก และยังทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องใข้วิธีการขับเหล็กที่แสนจะทรมาน
5. ควรตรวจฟันทุก 6 เดือน เนื่องจากฟันผุง่าย ผู้ที่ป่วยเป้รโรคนี้ จะมีกระดูกและฟันที่ผุได้ง่าย ดังนั้นควรแปรงฟันทุกวัน และหมั่นไปพบแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพกระดูกและฟัน อย่างน้อยทุกๆ 6 เดือน
6. ควรนอนอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง และ ออกกำลังกายทุกวัน วันละ 15-30 นาที แต่ควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่มีโอกาสกระทบกระแทกรุนแรง
7. หลีกเลี่ยงการทำงานหนัก หรือการเล่นกีฬาที่รุนแรง เพราะผู้ป่วยบางรายงายมี ม้ามโต ตับโต ถ้ากระแทกอะไรแรงๆ อันถึงม้ามและตับแตกได้ และถ้าเกิดอุบัติเหตุเลือดจะไหลไม่หยุด
8. ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เช่น เลือดหมู เลือดไก่ เครื่องในสัตว์ ตับ และผักบางชนิดที่มีธาตุเหล็กสูง
9. ห้ามรับประทานยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็กทุกชนิด เพราะจะทำให้มีธาตุเหล็กสะสมในร่างกายมาก และเร็วกว่าที่ควร ดังนั้นควรทานยาตามที่แพทยืสั่งเท่านั้น ห้ามซื้อยารับประทานเองโดยเด็ดขาด
10. ไม่ควรปล่อยให้ตนเองมีไข้สูง เพราะขณะมีไข้เม็ดเลือดจะแตกเร็วกว่าปกติ ถ้าไม่สบาย และมีไข้ขึ้น ควรไปพบแพทย์แต่เนิ่นๆ
11. รับประทานยาเสริมโฟเลท วันละ 1 เม็ด เนื่องจากโฟเลทเป็นสารที่จำเป็นในการสร้างเม็ดเลือดแดง เพราะร่างกายมีการสร้างเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ เพื่อมาชดเชยเม็ดเลือดแดงที่อายุสั้นลง ดังนั้นควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง เพื่อเป็นการดูแลรักษาตนเอง
12. ถ้ามีอาการปวดท้องที่บริเวณชายโครงขวาอย่างรุนแรง มีไข้ และตาขาวมีสีเหลืองมากขึ้น ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะผู้ป่วยบางประเภทจะมีอาการของโรคแทรกซ้อนได้ง่าย เช่น เป็นนิ่วในถุงน้ำดี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)